ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มโนมยิทธิ1

๑ มี.ค. ๒๕๕๒

 

มโนมยิทธิ ๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เดี๋ยวปัญหาก่อนเลยเนาะ เดี๋ยวจะตอบปัญหานี่ เอาปัญหานี้ก่อน

ถาม : เพื่อนข้าพเจ้ามีความสนใจปฏิบัติธรรม แต่เพื่อนคนนี้เป็นโรคทุกข์ใจ แล้วประกอบกับตัวเพื่อนคนนี้ได้ปฏิบัติสายมโนมยิทธิ ซึ่งเขาเคยไปเรียนมโนมยิทธิกับผู้นำผู้ใหญ่ในกลุ่มนี้บ้าง และผู้นำกลุ่มบอกกับเพื่อนข้าพเจ้าว่า เขาสามารถรักษาเพื่อนข้าพเจ้าให้หายจากโรคนี้ได้ และไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา

หลวงพ่อ : ตอนนี้นะ มันมีอย่างนี้เยอะ มโนมยิทธิมันมีอยู่ในพระไตรปิฎก มันเป็นการปฏิบัติวิธีการหนึ่ง มโนมยิทธิ หมายถึง ทำจิตให้สงบ เข้าสมาบัติ การเข้าสมาบัตินะต้องเข้าสมาบัติด้วยความชำนาญมาก ด้วยความชำนาญเราต้องเทียบสังคมก่อน สังคมสมัยปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่แล้วเราไม่เชื่อเรื่องศาสนา แต่สังคมสมัยพุทธกาลนะ ส่วนใหญ่ถ้าผู้ที่สนใจในศาสนานี่เขาจะทำความสงบเป็นพื้นฐาน คือเขาจะมีสมาธิ ภาวนาเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นพอเขาจะทำอะไร เขาจะทำได้ง่าย

แต่สังคมปัจจุบันเรา สังคมเทคโนโลยี สังคมเรานี่ ลองบอกสิ ใครมาเชื่อเรื่องศาสนา พวกนั้นเป็นคนครึ คนล้าสมัย พวกเราจะไม่กล้าพูดนะ ใครไม่กล้าพูดว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อเรื่องบาปเรื่องบุญ ไม่มีใครกล้าพูดหรอก ถ้าบอกเราเป็นดอกเตอร์ เราเป็นนักวิชาการ โอ๊ย! เท่ห์ เท่ห์มากๆ เลย แต่บอกว่าเราเป็นคนมีศีลธรรม เราเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในศาสนา ไอ้คนนี้คนครึ คนล้าสมัย

เราจะพูดให้ดูสังคม ถ้าสังคมอย่างนั้นปั๊บ การกระทำมันก็ง่ายขึ้น สังคมที่มีศีลธรรมจริยธรรมใช่ไหม ถ้าปฏิบัติมันก็แบบว่าไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใช่ไหม เดี๋ยวนี้ใครบอกว่าเป็นชาวพุทธ เขาว่าเป็นเรื่องแปลกนะ ยิ่งใครไปวัด โอ้โฮ! ทำไมไปให้เขาหลอกล่ะ ทำไมไม่ทำมาหากิน ทำไม คิดกันไปอย่างนั้นเห็นไหม พอคิดอย่างนั้นปั๊บก็ย้อนกลับมานี่ ย้อนกลับมามโนมยิทธิ

คำว่า มโนมยิทธิ มันมีอยู่แล้ว นี้คำว่า มโนมยิทธิ มันเป็นเรื่องการเข้าฌานสมาบัติ แล้วในสมัยพุทธกาลอย่างกาฬเทวิล เขารู้ระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ เขาไปนอนบนพรหมได้ อย่างพวกเราทำให้ตัวเองลอยขึ้นไปอยู่บนพรหมได้เลย ไปนอนอยู่กับพรหมได้เลย กาฬเทวิลไปนอนอยู่บนพรหม

เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา มันสั่นสะเทือน เวลาพระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร พระพุทธเจ้าปรินิพพาน โลกธาตุจะหวั่นไหว นี้พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าเกิดพระพุทธเจ้าเป็นเด็กทารกนะ พึ่งเกิด เพิ่งคลอดมาจากท้องนางสิริมหามายา พึ่งคลอด โลกธาตุหวั่นไหว นี้กาฬเทวิลอยู่บนพรหมยังกระเทือน กระเทือนก็กำหนดจิตดูว่า

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“อ้อ พระพุทธเจ้าเกิด”

ก็ลงมาดูไง ลงมาดู ก็เป็นเพื่อนกับพระเจ้าสุทโธทนะ ก็ขอดูลูก ก็เข็นออกมาจากเตียง เอามาให้ดู โอ้โฮ! เพราะเขาเป็นพราหมณ์ เขาเข้าใจพุทธลักษณะ นี่อาการพุทธลักษณะอย่างนี้ อย่างพวกเราเห็นไหม ที่พุทธลักษณะมันจะบอกหมด “นี่พระพุทธเจ้าแน่นอน” อู้ ดีใจมาก ดีใจมาก

เพราะตัวเองเข้าฌานสมาบัติได้ ไม่ใช่มโนมยิทธิ เข้าฌานสมาบัติได้ ระลึกอดีตชาติได้ถึง ๔๐ ชาติ อนาคตอีก ๔๐ ชาติ แล้วยังไปนอนบนพรหมได้ แต่ไม่มีปัญญาออกตรัสรู้ได้ ไม่มีปัญญาบรรลุธรรมได้ ไม่มีปัญญา ปัญญาที่จะเอาตัวเองให้รอด ไม่มีปัญญา แต่มีกำลังนะเหาะเหินเดินฟ้าไปนอนที่ไหนก็ได้ แต่ไม่มีปัญญา เพราะยังไม่มีศาสนา

ศาสนาคืออะไร ศาสนาคืออริยสัจ คือสัจธรรม ยังไม่เกิดเพราะไม่มีใครรู้จริง นี่เห็นไหมมโนมยิทธิ มโนมยิทธิคือต้องมีจิตอย่างนี้ พอมีอย่างนี้แล้วย้อนไปวิปัสสนา ย้อนไปที่ปัญญาที่กาฬเทวิลต้องการอยู่นี้ นี้กาฬเทวิลยังไม่มีเห็นไหม ดีใจมากเลย พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว มันจะมีคนบอกช่องทางไป ทั้งตัวเองพร้อมหมดทุกอย่างนะ ไปนอนบนพรหม คิดว่าคนก็นอนอยู่บนพรหมได้ นี้ก็จะมีคนมาชี้บอก ก็ดีใจใช่ไหม ดีใจด้วย แล้วเสียใจด้วย เสียใจเพราะว่ารู้อายุสังขารของตัวว่ามันจะตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไง

ไม่มีโอกาสเห็นไหม พื้นฐานสังคมเขาเป็นอย่างนั้น นี้การกระทำมันก็ง่าย พอพื้นฐานสังคมของเราเป็นอย่างนี้ พอเป็นอย่างนี้ปั๊บเราจะบอกว่า พวกเราจะรักษาใจให้นิ่งยาก ใจเราจะวอกแวกมาก แล้วสิ่งเร้า สังคมมันจะเยอะมาก คิดดูสิ แค่บอกว่าเราเป็นอะไร เรายังทนไม่ได้เลย เรายังบอกเขาไม่ได้ เราอาย ยังรับเขาไม่ได้เลย พอรับไม่ได้ พออาการวูบวาบ ใจก็ออกแล้ว

ดูสิ ดูฤๅษีชีไพรเหาะมานะ เหาะมาเลย พอมาเห็นผู้หญิงอาบน้ำ ตกทันทีเลย เพราะจิตมันแวบลงเลย ถ้าจิตมันอยู่ในอะไร มันจะไปของมันได้ นี้มโนมยิทธิเข้าฌานสมาบัติ การเข้าฌานสมาบัติได้คล่องตัวมาก อยู่ที่ไหนก็ทำได้ คำว่าอยู่ที่ไหนก็ทำได้ ชำนาญในวสี คนไม่เข้าใจนะ คนเราเห็นไหม เวลาทำสมาธิทำได้แสนยาก แต่รักษาสมาธิไว้อยู่กับเรายิ่งยากเข้าไปใหญ่

อย่างเราเข้าสมาธิ เข้าสมาบัติได้แล้ว แล้วเหาะ เหาะไปต้องคุมใจตลอดนะ เหมือนเครื่องบินน่ะ ถ้ามึงบังคับเครื่องบินไม่ได้ เครื่องบินมึงเป๋ออกนอกทางนะ นี่เครื่องบินเป๋ใช่ไหม เพราะเครื่องบินมันมีกำลังของเครื่องยนต์อยู่ใช่ไหม ไอ้นี่มันกำลังที่ไป กำลังใจเรานะ เหาะเหินเดินฟ้านี่กำลังใจของเรานะ ถ้ามันแวบมันก็ร่วงทันที ถ้าใจมันไม่นิ่ง เรารักษาใจเรา มันยังนิ่งได้ยาก แล้วมันจะเกิดปัญญานี่ ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร

คำว่า มโนมยิทธิ เราจะบอกว่าในพระไตรปิฎกมี มันมีอยู่แล้วมโนมยิทธิ วิชามโนมยิทธิ มี แต่ที่เราไม่เชื่อนี่ เราไม่เชื่อถึงคนทำไง อย่างเช่น พระอภิธรรมนี่เราเชื่อ อภิธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ววางไว้ ทางทฤษฎีเราเชื่อ แต่เราไม่เชื่อคนพูด ไม่เชื่อคนสื่อ เพราะคนสื่อมันไม่รู้ มันพูดตามตำรา เราเชื่อทฤษฎีอันนั้น แต่เราไม่เชื่อคนพูดเรื่องทฤษฎีนั้น

ที่เราค้านอภิธรรม เราค้านตรงนั้นนะ เราไม่ได้ค้านวิชาของพระพุทธเจ้า

นี่พุทธพจน์นะ ห้ามเถียง ห้ามเถียง

ไม่ได้เถียงพุทธพจน์ เถียงคนพูดพุทธพจน์น่ะ เถียงคนพูด แต่ไม่ได้เถียงตัวพุทธพจน์ ไม่ได้เถียงธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่เถียง แต่เถียงคนนั้น ฉะนั้นที่เขาบอกว่า มโนมยิทธิ วิชามโนมยิทธิมันเป็นวิชาแก้กิเลส

ถาม : ทีนี้ก็ย้อนกลับมานี่ จึงอยากถามอาจารย์ดังนี้

๑. มโนมยิทธิ ถ้าเพื่อนของข้าพเจ้าไปเรียนกับผู้นำสายนี้ จะสามารถรักษาโรคนี้ ตามที่ผู้ปฏิบัติธรรมสายนี้พูดจริงหรือไม่

หลวงพ่อ : พออย่างนี้แล้ว มันจะเข้าล่ะ เพราะเมื่อวานก็มา พ่อแม่พาลูกมาคนหนึ่ง ไปปฏิบัติมา แล้วก็มาหาเราไง เขาก็ปฏิบัติที่เมืองจันท์ เขาว่าเขาเป็นเศรษฐี เป็นฆราวาส เป็นเศรษฐีนะ เป็นเศรษฐีมาจากเมืองนอก มีเงินเยอะมาก แล้วมาปฏิบัติใช้โยนจิตแบบวิทยาศาสตร์ จิตนี่โยนออกไป แล้วก็โยนกลับมา พอโยนออกไป มันโยนจิต มันก็โยนออกไปให้เหมือนกับแรงเหวี่ยง พอเหวี่ยงออกไปแล้วเหวี่ยงกลับ เหวี่ยงกลับแล้วตัวจะหมุน แล้วทำไป ทำไป เขาว่าดีอยู่

แต่พอมาหาเรานะ คุยไปคุยมา คุยจบแล้วบอกว่า ตอนนี้มันเบลอๆ คือพ่อแม่กลัวลูกเขาเสียไงเราถึงบอกว่าตอนนี้นะ พวกเราชาวพุทธไม่เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ไปเชื่อวิทยาศาสตร์ไง เขาอ้างว่าเขาเป็นเศรษฐี คนไทยนี่แหละไปทำมาหากินอยู่อเมริกา แล้วเงินเหลือเฟือมาก เลยอยากกลับมาช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือในการปฏิบัติ เขาว่าอย่างนี้นะ

บอก ถ้าช่วยเหลือประเทศชาติก็เอาเงินมาให้รัฐบาลสิเนาะ ไอ้ปฏิบัติเพราะฟังแล้วมันผิด โยนจิตไง โยนจิตให้มีแรงเหวี่ยง เหมือนโยนความคิดออกไป แล้วก็ความคิดโยนกลับมา แล้วโยนออกไปอย่างนี้ พอโยนออกไปแล้วตัวจะหมุน ตัวเราเองมันจะหมุนติ้วๆ ๆ แล้วก็ถามว่า

“ทำแล้วได้อะไรมา”

“สบาย สบาย”

แล้วเราออกปฏิบัติตอนนี้ ตอนนี้ผู้ที่ปฏิบัตินะ ยิ่งอย่างพวกเรานี่ ประสาผ้าขาวคือเราเชื่อ เรามีศีลธรรม เราเชื่อสิ่งใดว่า คุณงามความดีเชื่อศีลธรรมไง แต่เราไม่เข้าใจนะ ว่าคนที่เขาคิดเพื่อหวังผลประโยชน์ เขาก็พูดกับคำเดียวกับเรานี่แหละ แต่การกระทำของเขาไม่เหมือนเรา ฉะนั้นถ้ามันเป็นโรค ก็รักษาตามเรานี่แหละ

ถาม : แล้วอย่างที่ว่า อย่างข้อ

๒. ถ้ารักษาได้แต่ถ้าไม่อยากเรียนสายมโนมยิทธิ การศึกษาด้านพุทโธจะรักษาได้หรือไม่

หลวงพ่อ : นี่ไง การศึกษาด้านพุทโธ พุทโธเป็นพุทธานุสสติ คือเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา สังเกตได้ไหม เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหลวงตาไปเยี่ยม ท่านบอกให้พุทโธไว้นะ ให้พุทโธไว้นะ ท่านพูดคำนี้ ท่านบอกว่า เวลาคนป่วยนี่โดยธรรมชาติของมนุษย์ป่วย ๒ คน คือธรรมดาคนป่วยจิตใจมันป่วยแล้วใช่ไหม ร่างกายป่วยแล้ว พอร่างกายป่วยแล้ว เพราะเราเป็นโรคเป็นภัย ร่างกายเราเจ็บไข้ได้ป่วยใช่ไหม คนหนึ่งแล้ว แล้วจิตใจเราหวั่นไหวน่ะเป็นสอง

ถ้าเรากลับมาที่พุทโธ อยู่ที่สัจธรรม อยู่ที่ความจริงเห็นไหม ถ้าจิตใจเรานิ่ง จิตใจเราไม่มี..โรคภัยไข้เจ็บรักษาได้ง่าย ท่านถึงบอก ถ้าท่านไปท่านถึงบอกว่า ให้พวกเราอยู่ที่พุทโธ ใจมาอยู่ที่พุทโธ ให้มีสติไว้ แล้วให้มันป่วยเฉพาะร่างกาย พอป่วยที่ร่างกายมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี้พอมันไปรักษาโรคมันก็ง่ายขึ้น แต่โดยธรรมชาติของเราเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ ไอ้ความวิตกกังวลมันป่วยคนที่สอง

ไอ้ความวิตกกังวล ไอ้ความทุกข์ความยาก แล้วนี่โรครักษาหายหรือไม่หายก็แล้วแต่นะ ถ้าโรครักษาไม่หาย ไปทางหมอนี่ ไปทางนี้ เขาก็รักษาไปตามอาการ พอรักษาไปตามอาการ มันก็จะดีขึ้น มันอยู่ที่เรานะ

ทิดประยูรคนเมืองจันท์อยู่กับองค์หลวงตา หลวงตาพามาส่งเอง มาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ มั้ง จำไม่ได้ ผ่าไป ผ่าไปเนี่ย มะเร็งลำไส้ หมอบอกว่า ๖ เดือนตาย หลวงตาก็ถามทิดประยูรที่สึกไปแล้ว บวชพร้อมกับอาจารย์อินทร์เป็นบัดดี้กัน รักษางานคนละฝ่าย ฝ่ายก่อสร้างกับฝ่ายข้อวัตรในวัด หลวงตาถามตอนนั้นเป็นพระ พระประยูรคนเมืองจันท์

“จะตายบ้านหรือจะตายวัด ถ้าตายวัดเรากลับไปตายวัด ถ้าตายบ้านก็สึกไปตายบ้าน”

“บอกจะไปตายวัด”

จนเดี๋ยวนี้ยังอยู่นะ หมอบอก ๖ เดือนต้องตาย หมอผ่ามาแล้วเย็บกลับไป ไม่ทำอะไรเลย แล้วกลับไปบ้านตาด พอครบ ๖ เดือนไปแล้ว หายเลย หมอบอกต้องตายนะ หายเลย หายแล้วตอนนี้สึกไปแล้วด้วย กลับไปอยู่บ้าน หมอผ่ามาแล้ว หมอไม่ทำอะไร เย็บกลับ ๖ เดือน จนเดี๋ยวนี้ยังอยู่เลย พุทโธนี่

นี้เราพูดอย่างนี้ เราจะบอกว่าพุทโธ เรารักษาพุทโธ แล้วรักษาหายเนี่ย คำว่า “สัตว์โลกมันเป็นไปตามกรรม” กรรมของคนมันมีใช่ไหม จะว่ารักษาได้โดย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันพูดอย่างนั้นไม่ได้ในหลักศาสนาเราเห็นไหม สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง รักษาหายก็ได้ รักษาไม่หายก็ได้ เพราะคนเราแบบว่ามันมีตัวแปรเยอะไง เราจะพูดให้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปนี่ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ หรือหาครูบาอาจารย์ที่รักษา

แต่มโนมยิทธินะ ถ้าเราไปหานะ ถ้ารักษาอย่างที่เขาว่า มันก็เพ่งกัน มันก็ทำอย่างนั้นไป แล้วถ้าเกิดมันเป็นไปแล้ว เรารักษาใจเรา แล้วอย่างโรคนี้เราก็รักษาตามอาการดีกว่า เพราะเราไม่เชื่อมั่นผู้ที่จะรักษาไง ไม่เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ ถ้ารักษามโนมยิทธินะ เป็นเรานะ เรารักษาชีวจิตดีกว่า เพราะชีวจิตเขารักษาด้วยอาหาร ด้วยความเป็นจริงใช่ไหม คือด้วยวิทยาศาสตร์ เหมือนวิทยาศาสตร์

แต่มโนมยิทธิหรือรักษาแบบเขานี่ ถ้าเขารักษาด้วยพลังจิตของเขานี่ เพราะพลังจิต เขาก็เพ่งเรา แล้วเราล่ะ คือว่าเราเอาชีวิตเราไปเสี่ยงกับเขาเหรอ นี่ความเห็นเรานะ

ของจริงนะ ถ้าของจริงแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วมันไม่ค่อยออกมา อย่างนี้เราไม่.. ถ้าโยมเห็นหรือโยมเข้าใจไปพิสูจน์ว่า มันน่าเชื่อถือขนาดไหนนะ จะไปลองก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ในความเห็นเรา เราไม่เชื่อทางนี้

เราเชื่อในทางธรรมะ ทางธรรมะอย่างที่หลวงตาท่านพาทำ ก็อย่างเราปฏิบัตินะ เรานี่เป็นนิ่ว เรานั่งอยู่ ๓ วัน นิ่วออกมาเอง อยู่ที่บ้านตาด เวลาเราเป็นไข้มาเลเรียไม่เคยไปหาหมอเลย คำนี้เราปฏิบัติ เพราะเราเชื่อมั่นใจของเราเอง เรากล้าสู้ ธรรมะโอสถเราทำมาเยอะ แต่เราทำในตัวเราเอง แล้วกับลูกศิษย์ เวลามากับเรานี่

เราบอก “เอ็งไปหาหมอซะ พวกเอ็งไปหาหมอ”

เพราะจิตใจเขาไม่เข้มแข็ง เวลาเจ็บปวดแล้วเอ็งจะทนไหวไหม เวลาเจ็บขึ้นมา ปวดขึ้นมา เรามาเลเรียนี่ เราอยู่ในป่า พระเพื่อนตายปีละองค์ๆ บางปีตาย ๒ องค์อยู่ด้วยกันนี่ ตายกันต่อหน้านี่ มาเลเรีย ตายเลย แล้วเราเองเราก็เฉียดตาย เจียนตายอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะมันก็เต็มที่ เขาขนาดว่าเอา ควินินฉีดเข้าเส้น พระฉีดกันเอง แล้วก็จะมาฉีดเรานะ มาถึงฉีดเข้าเส้นเลย เราบอก

“ไม่ กูยอมตายดีกว่าพิการ”

ไม่ให้ใครฉีด ควินินฉีดเข้าเส้นนะ ไม่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพราะมันวิกฤติไง แต่เราไม่เอาอะไรเลย เราพุทโธสู้กับมัน พุทโธ พุทโธ มาเลเรียเป็นมาเยอะ เพราะเราอยู่ในดงมัน เราจะบอกว่าเราไม่เชื่อว่าคุณภาพของหมอจะเป็นไปได้ไหม แต่เรื่องสิ่งอย่างนี้เราทำกับตัวเราเอง เพราะเวลาปฏิบัติ เราสู้กับตัวเราเอง อย่างเช่น คนป่วย เราจะรู้สึกว่าคนป่วยนี่นะ ๑. ร่างกายเราป่วยแล้ว ๒. หัวใจมันวิตกกังวล มันห่วงเขาไปหมดเลยนะ ห่วงโน่นห่วงนี่ขึ้นมา แล้วจะทำใจเราให้สงบได้มากน้อยแค่ไหน

ถ้าจิตใจเขาอ่อนแอนี่ ส่วนใหญ่เราจะบอกว่าไปหาหมอซะ แล้วถ้าจะธรรมโอสถ จะใช้พิจารณาได้ พิจารณาบ้าง นั่นก็อยู่ที่คุณสมบัติของจิต ที่จิตของคนนั้นจะสู้ได้ขนาดไหน แต่สำหรับเรา เราอยู่ในป่านะ ไม่เอาเลย เผชิญหน้ากับมันเลย เพราะอยากเห็นไง เวลาเขาวิปัสสนา อยากวิปัสสนาใช่ไหม ไอ้นี่มันเผชิญหน้าแล้ว เราเอาเลย เวลาเข้มแข็ง เข้มแข็งมากนะ แต่ตอนนี้ที่เขาว่า เวลามันเจาะเลือด ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องหนึ่ง

เรานี่เต็มที่ สู้มาเต็มที่ เพราะเวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย อะไรตาย ขอดูอะไรตายก่อน เวลามันบอกจะตาย ขอดูอะไรตายก่อน เวลาตายนี่สู้กับมันเลย เข้าไปดูมันเลย อะไรตาย แล้วอย่างนี้เวลากลับมาเห็นไหม อย่างที่หลวงตาท่านว่า “มันจะมีอะไรตาย มันไม่มีอะไรตาย” เพราะอะไร เพราะตาย เช่น เราตายเราออกจากร่าง นี้เรายังอยู่ คือ เราจะไปดูว่าอะไรตาย ไอ้ตัวที่ว่า มันจะตาย มันไปรื้อค้นมันเอง มันยิ่งดีขึ้นไปใหญ่

พอเข้าไปเห็นอะไรตายก่อน ขอดู ไม่เห็นมีอะไรตาย พอไม่มีอะไรตาย สติเราก็พร้อม ทุกอย่างมันก็สดชื่นหมดล่ะ อะไรตาย มันจะตายได้อย่างไร ก็กูนั่งอยู่นี่ จะตายได้อย่างไร อ้าว! กูจะตาย จะตาย กูช็อค กูก็ตายไปเลย เวลากลัวตายใช่ไหม กลัวตาย ช็อค ป๊อก! ตายเลย ไอ้นี่กลัวตาย ก็ดูใหญ่เลย สติมัน..นั่นคือตัวสติ นั่นคือตัวมันเอง มันยิ่งชัดเจน มันจะตายได้อย่างไร นี่คนไม่เข้าใจเรื่องอิทธิบาท ๔

อิทธิบาท ๔ เห็นไหม จิตตะ วิมังสา ถ้าใครพิจารณาจิตอยู่ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ เพราะตัวจิตมันตัวเคลื่อน ตัวออก ตัวไม่ออก นี้ตัวจิต นี้เราไม่ได้ดูตัวจิต เราไปกลัวไง เราไปกลัวความคิด ไอ้ตัวจิตมันก็ยิ่งเคลื่อนไหว มันยิ่งหลุดไปเลย ตายทันที

นี้ถ้าเขาฝึกพุทโธ ฝึกอะไรก็ให้จิตฝึกไว้ โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดานะ ประสาเราเลยว่า เราเจอแล้วมันก็เรื่องธรรมดา อย่างเช่น เรานั่งกันอยู่นี่ ใครไปเหยียบโดนหนามเข้า คนนั้นก็คือหนามตำเท้า ไอ้คนไม่ได้เหยียบก็ไม่ได้เป็นนะ อ้าว! ใครไปเหยียบก็หนามตำเท้าก็ต้องบ่งหนามออกเป็นธรรมดา ร่างกายเราทุกคนเหมือนกันหมดเลย แต่ใครจะมีโรคหรือไม่มีโรคนี้อีกเรื่องหนึ่ง ทีนี้พอมีโรคแล้วก็คือมีโรค แล้วเราจะไปตื่นเต้นกับอะไร ทีนี้เพียงพอเราไปเหยียบหนามตำเท้าแล้วเราก็ต้องบ่งหนาม

นี่ก็เหมือนกันถ้ามันเราเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องแก้ไข นี้พอแก้ไขขึ้นมานี่ คนเราพอมีเหตุความจำเป็น ไอ้พวกที่เข้ามาหาผลประโยชน์มันเยอะ ถ้าพวกเราไม่เป็นอะไร ใครจะมาต่อรองอะไรกับเรา เราไม่เป็นอะไรใช่ไหม แต่ถ้าเราป่วยขึ้นมา มีคนมาต่อรองกับเราแล้ว เราต้องการหาย ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็ต้องเป็นเหยื่อแล้ว แล้วสังคมมันเป็นอย่างนี้เยอะมาก

ฉะนั้นถ้าเราไม่เป็นเหยื่อเห็นไหม ก็อย่างที่ว่า เราก็รักษาตามวิทยาศาสตร์ กำหนดใจเราดู แล้วให้เขาเข้มแข็ง อย่างนี้อย่างพูดให้เราฟัง บอกว่า มันเป็นคราว เป็นของๆ เขา ถ้าพูดถึงถ้าจิตใจของเขา เขาทำของเขา จิตใจเขาทำสะอาด จิตใจเขาทำความผ่องใส เขาเองก็หายจากโรคได้ แต่ถ้าเขาไปวิตกกังวล ยิ่งวิตกกังวล เยายิ่งทุกข์ไปใหญ่ เขายิ่งวิตกกังวลมากขนาดไหน มันก็เป็นแหล่งช่องทางให้คนที่จะเข้ามาว่า จะช่วยเหลือ ช่วยเหลือนี่ ตักตวงผลประโยชน์จริงไหม

เรานั่งอยู่นี่ มันมีนะ คนที่โพธารามนี่แหละ เขาเป็นผู้หญิง เขานั่งรถไปกับสามีไปทำงาน เขานั่งรถทัวร์ไป เสร็จแล้วนั่งรถไป รถไปโดนรถชนท้าย เขานั่งอยู่ตอนท้าย พอรถจะชนท้ายเขาลุกขึ้นมาพอดี ลุกขึ้นมา รถก็ชน สามีตาย พอสามีตายไปปั๊บ มันมีลูกอยู่คนหนึ่ง เขาไปหาหมอดูใช่ไหม พวกพระหมอดูนี่ เขาบอกเลยว่า สามีจะมาเอาภรรยาไปด้วย จะต้องทำสังฆทานให้กับสามีตลอด โยมเชื่อไหม ทำจนหมดตัว ชุดละ ๒,๐๐๐ ๓,๐๐๐ ๔,๐๐๐ ๒,๐๐๐ ทำอยู่อย่างนั้นน่ะ จนครั้งสุดท้ายเขาไปถึงเขาบอกว่า ต้องทำสังฆทาน ๑,๗๐๐ หนูเหลืออยู่ ๙๐๐ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเท่านี้ หมดแล้ว

นี้เพื่อนบ้านเขาสงสาร เขาพามาหาเรา คนเราถ้ามีความจำเป็น มันก็ไม่คิด นี่สามีเพิ่งตายไปไง แล้วเขาก็คิดว่าสามีจะมาเอาเขาไปด้วย แล้วเขามาหาเรา

เราถามเขาคำแรกเลย “โยมเชื่อไหมว่าสามีรักลูก”

บอก “เชื่อ”

“ถ้าสามีของโยมรักลูก ถ้าเขาเอาโยมไป แล้วลูกจะอยู่กับใคร” เขาได้คิดเลยนะ

“ถ้าสามีโยมจะมาเอาโยมไป สามีโยมรักลูกไหม”

“รัก”

“ถ้าสามีโยมรักลูก เอาแม่ไป แล้วลูกจะอยู่กับใครล่ะ”

“ด้วยตรรกะ ด้วยเหตุผล มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แล้วโยมเชื่อเขาทำไมล่ะ”

“อ้าว! ก็เชื่อสิ ก็วันนั้นขับรถไปเนี่ยนะ พอดีเขาสร้างถนน มันมีกองหินใช่ไหม เขาก็หลบไปที่กองหิน รถวิ่งมาชนเขาเลย พอดีเขาขึ้นไปอยู่บนกองหิน”

พอมันมีอุบัติเหตุ มันมีอะไรเข้ามา เขาบอก “นี่สามีจะมาเอาเขา”

เขายิ่งเห็น เขายิ่งตกใจไปใหญ่เลย

เราบอก “มันเป็นไปไม่ได้หรอก พอโยมไปไหน มันทั้งนั้นน่ะ มันอุบัติเหตุ โยมเดินไป โยมสะดุดล้มลง โยมก็ว่าสามีโยมทำอีกแล้ว” ก็ตัวเองสะดุดเท้าตัวเอง ยังไปว่าสามีทำ พอใจมันมีวิตกกังวล มันจะคิดไปทำนองนั้น

เราบอกว่า “โยมไม่ต้องทำอะไรเลย ต่อไปนี้นะ โยมก็ทำมาหากินตามหน้าที่ของโยมไป แล้วโยมกลับบ้านนะ ตอนกลางคืนก่อนนอน โยมนั่งภาวนากำหนด พุทโธ พุทโธน่ะ อันนี้สุดยอดเลย ทำบุญทำทาน สังฆทานแล้วแต่ ไม่มีผลบุญเท่ากับนั่งสมาธิ ไม่ต้องเสียเงินเสียทองด้วย ทำใจให้สงบแล้วอุทิศส่วนกุศลให้สามี ให้ทุกๆ อย่าง เหตุการณ์มันจะดีขึ้น ไม่อย่างนั้นจะหมด บ้านก็จะหมดนะ ขายบ้าน ขายช่อง”

เราเห็นเหตุเรื่องอย่างนี้มาเยอะ ยิ่งไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หลอกไม่ได้ง่าย ลองเจ็บไข้ได้ป่วย สบายเลย ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ โอ้โฮ! ควักใหญ่เลย เจอมาเยอะ ยิ่งถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วนี่ เราก็ฟังถ้ามีเหตุมีผลนะ แล้วถ้ามีอยู่ เรารักษาเนี่ย เรารักษาตามอาการ ถ้ามันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่เราว่าหาย รักษาได้ มันรักษา ถึงเวลาแล้วมันรักษาของมันไป แต่ถ้าไปไปตามนี้

โธ่ ! ขนาดนะ พี่สาวเราเองเลย พี่สาวแท้ๆ นี่แหละ ไตวาย ปี ๒๗ เราก็ธุดงค์กลับมา น้องชายมันก็พยายามเอาพี่สาวไปโรงพยาบาลไง มันไม่ยอมไป เราก็ไป ไปถึงปั๊บ เราก็แบบว่าตอนนั้นปี ๒๗ ก็ไปโรงพยาบาลจุฬาฯ เราจะให้ข้างหนึ่ง ไปโรงพยาบาลจุฬาฯ เลย ทีนี้โรงพยาบาลจุฬาฯ ยังเข้าไม่ได้ เขาเอามาพักไว้ที่ธนบุรี แล้วเขาก็จะเปลี่ยนไต โอ้โฮ! เนี่ยฟังนะ พวกหมอประชุมกันน่ะ เขาบอกเลยนะ บอกพวกเรา เตือนพวกเราไง เตือนพี่น้อง พวกน้องๆ นี่ บอกว่า

“อย่ารักษา เพราะเขาเป็นหมอนะ เขาบอกว่า ส่วนใหญ่แล้วในครอบครัว ใครคนใดคนหนึ่งไตวาย แล้วทุกคนก็อยากจะเอาไว้ ทุกคนมีบ้านมีรถนะ หมดเลย เพราะมันใช้จ่ายมาก เขาบอกว่ารักษาตามอาการ ถึงที่สุดแล้วนะ ถ้าเขาเสียชีวิตไป มันก็เรื่องบุญเรื่องกรรม แล้วผู้ที่อยู่มีสมบัติหรือสิ่งใดมันดำรงชีวิตไปได้”

พวกหมอเขาเห็นอย่างนี้มาเยอะ เขาบอกเราเลยนะ ปล่อยไปตามธรรมชาติ คือรักษาตามธรรมชาติ นี้พวกเราจะรักษา น้องชายบอกจะรักษา รักษายาเข็มละ ๑,๐๐๐ นะ รักษาอย่างน้อยต้องมีสองแสนสามแสน เอาตังค์มา น้องชายเอาเงินมากองเลย นี่เงิน

“เงินนี้กู้มาหรือเปล่า เงินนี้ไปยืมใครมา”

เพราะหมอเขาบอกว่า เพราะตอนนั้นเขาพึ่งเปลี่ยนไตได้เป็นสองสามคนแรกของศิริราช กับ จุฬาฯ เขาแข่งกัน แล้วของเราเข้าศิริราชไม่ได้ เพราะเราอยู่ที่ธนบุรีใช่ไหม ธนบุรีหมอเขาเป็นหมอศิริราช แล้วเขาไม่รับแล้ว เราเลยวิ่งเข้าจุฬาฯ เขาบอกเลยนะ เรานั่งฟังอยู่ด้วย เขาคิดตังค์นะ ค่าปรึกษาหมอนี่(หัวเราะ) แล้วอธิบายให้ฟัง ต้องจ่ายตังค์ด้วยนะ

เพราะน้องชายเป็นคนวิ่งเต้น เพราะเราเป็นพระใช่ไหม แล้วเราเป็นที่ปรึกษา แต่เราไม่แสดงตัว เพราะศาสนาทำลงไป เขาดูมันทำให้ศาสนาน่าเกลียด เขาคุยกับน้องชาย เรานั่งฟัง น้องชายมันเอา เราก็เอาด้วย เขาบอกอย่างน้อยต้องมีสองแสน สองแสนก็ควักมาสองแสนมาวางเลย สองแสนนี้กู้มาหรือเปล่า โอ้ สองแสนนี้เงินของใคร เงินเราหรือเงินใคร บอก เงินเราเอง เงินสด ๆ

ขนาดทางวิทยาศาสตร์นะ รักษาตามอาการ มันก็ยังกินเงินเราขนาดนี้ จนพวกหมอ พวกนายแพทย์เขาสงสาร เขาบอกว่า “รักษาตามธรรมชาติ ถึงที่สุดตายก็ตาย พอตายแล้วลูกหลานไม่เป็นหนี้ ไม่ต้องใช้หนี้ใคร” เราเห็นเรื่องอย่างนี้มานะ นี่ขนาดรักษากันอย่างนี้มานะ แล้วพออย่างนั้นปั๊บเราวิ่งเต้น มีเรากับน้องชาย น้องชายคู่แฝดนี่ล่ะ ตัดข้างใดข้างหนึ่งให้พี่สาว เราไปกล่อมจนมันยอมเซ็นนะเซ็นว่าจะผ่าตัด จะเปลี่ยนไต จะเปลี่ยนไตที่จุฬาฯ

แล้วเขาก็นัดมาแล้ว นัดมาก็อดอาหารไปเลย เขาจะเจาะเอาไตไปเทียบว่ามันจะรับหรือไม่รับไง ไปถึงพี่สาวไม่ยอมเซ็นชื่อ เราก็ เอ๊ะ! ! คุยกันมาจนจบแล้ว ทำไมพอถึงเวลาจะทำ แล้วไม่ยอม ไม่ยอมเซ็นชื่อนะ เพราะอะไร เพราะคนไข้เวลาจะผ่าตัดเขาต้องฟื้นฟู พอฟื้นฟูเขาขับถ่ายได้ พอขับถ่ายเขาคิดว่าเขาเบาแล้วไง แล้วติดที่เห็นว่า แม่ไปพูดด้วยว่า

“เตี่ยเขาบอกว่า ถ้าลูกคนไหนป่วย เขาขอให้ป่วยคนเดียว ไม่อยากให้ลูกป่วย ๒คน ๓ คนไง ถ้าตัดอีกคนไป เขากลัวเราป่วย”

แต่เราไม่คิดอย่างนั้น เราอธิษฐานจิตเราเอง ตอนนั้นนะอธิษฐาน อธิษฐานว่า “ถ้าศาสนาจะได้ประโยชน์มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าศาสนาไม่ได้ประโยชน์ พี่สาวได้ประโยชน์ก็อีกเรื่องหนึ่ง ใช่ไหม” เราคิดว่า ถ้าเราตัดไตไปข้างหนึ่ง ไอ้การทำงานของเรา ข้อวัตรมันจะเข้มแข็งไม่ได้ มันจะเป็นผู้นำไม่ได้ เราอธิษฐานของเราเลยนะ ว่ามันจะได้ประโยชน์กับศาสนา หรือได้ประโยชน์กับพี่สาว สุดท้ายแล้วเห็นพอบอกว่าแม่พูดกับเขาอย่างนี้ เขาก็เลยไม่ยอมเซ็นชื่อ ไม่ยอมเซ็นชื่อก็ผ่าตัดไม่ได้ พอออกมาอย่างนั้น ไม่ถึงปีกว่าเขาก็เสีย พี่สาวเสียไปแล้ว

เนี่ยขนาดรักษาตามวิทยาศาสตร์ เงินก็ยังต้องทุ่มกันเต็มที่แล้ว แล้วถ้าไปรักษาอย่างนี้นะ โอ้โฮ เขาหลอกตายเลย แล้วเวลาคนคำพูดจะพูดคำนี้นะ ไปที่ไหนนะ รักษาฟรีไม่เอาตังค์ ไม่เอาตังค์ ไม่เอาตังค์เราจะไปอยู่กับเขาฟรีได้อย่างไร เวลาเราไปรักษาจะฟรีไหม ทุกคนจะเชื่อคำนี้นะ อย่างเมื่อวานนี้ก็มาเหมือนกัน เราบอกไปกับเขามา ฟรี ฟรี กูไม่เชื่อ ถึงเวลาแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ที่ไหนไปฟรีหมดล่ะ เขาตั้งกล่องไว้ ฟรี แล้วแต่คิดจะบริจาค อันนี้พูดถึงโดยสังคมนะ

นี้โดยข้อเท็จจริงนี่ มโนมยิทธินี่เราเคยพูดบ่อย มโนมยิทธิทางวิชานี้มีไหม มี แต่ทำได้ไหม ยาก เพราะถ้าทำได้จริงนะ ผู้ที่สอนมโนมยิทธิถ้าทำได้จริงนะ เขาต้องเป็นพระอรหันต์ ต้องมีคนที่ปฏิบัติสิ้นกิเลสบ้าง นี่ไม่มีเลย มีแต่มโนมยิทธิ มโนมยิทธิ

เราจะพูดอย่างนี้นะ สิ่งที่เขาทำกันนั้นเป็นอุปาทานหมู่ เวลาคนเขาสอนกันนี่ เราคิดว่า สอนตัวต่อตัวหรือสอนทั้งหมู่ อย่างเช่น เราเนี่ย ใครมาเนี่ย เราจะสอนตัวต่อตัว หมายถึงว่า กำหนดจิตตามเราแล้วพาไปเที่ยว เรากำหนดแบบว่าเราน้อมนำไปเห็นไหม เขาจะทำตามเราไป แต่วิชานี้มีนะ ถ้าไม่มีพระโมคคัลลานะกล้าพูดกับพระพุทธเจ้าเหรอว่า ตอนที่ทุกข์ยากเห็นไหม จะเหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง

พระพุทธเจ้าบอกว่า “แล้วพระที่เหาะไม่ได้ ทำอย่างไร”

“กระผมจะจับมือต่อๆ กัน แล้วผมจะเหาะพาไป” ยังทำได้เลย

ไอ้ที่นรก-สวรรค์ไปได้ไหม

“ไปได้”

พระโมคคัลลานะนี่ทำได้ พระพุทธเจ้าทำได้ พระนันทะเห็นไหม ที่นันทะแต่งงานแล้วไง แล้วพระพุทธเจ้าก็เอามาบวชไง แล้วคิดถึงเจ้าสาวน่าดูเลย

พระพุทธเจ้าบอกว่า “ดูเจ้าสาวไว้ สวยหรือไม่สวย”

“สวย”

“ไป จะพาไปดูนางฟ้า”

จับมือเหาะไปเลย คนบวชใหม่เหาะได้ไหม ไปสวรรค์ได้ไหม ทำไมพระพุทธเจ้าพาไปได้ เราบอกว่า สิ่งนี้มี แต่มีเพราะใคร มีเพราะพระพุทธเจ้า มีเพราะพระโมคคัลลานะ พวกนี้มีฤทธิ์ของจริง

แต่เวลาที่เขาทำกันอยู่นี่มันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริงทำไมไม่พากูเหาะไปล่ะ ทำไมมาบอกว่าคิดตามเรา คิดตามเรา เห็นหรือยัง เห็นหรือยัง

อ้าว! ถ้าจริงมึงจับมือกูเหาะไปสิ

ของจริงมี มันถึงมีของปลอม ถ้าของจริงไม่มี เอาของปลอมมาจากไหน นี่ที่ว่าอ้างมโนมยิทธิ เราไม่ลบหมดไง เราไม่ลบทฤษฎี แต่เราลบที่ตัวบุคคล เราไม่เชื่อตัวบุคคลไง เราไม่เชื่อตัวบุคคลว่าทำได้จริงหรือทำไม่ได้จริง แต่วิชานี้มี

อย่างนี้เราพูดบ่อย อย่างพวกอภิธรรม อภิธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตนะ จิตแต่ละดวงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคนที่เข้าใจได้จริง แต่เราไปเอาเป้าหมายไง แล้วเรามาสร้างอารมณ์ให้เป็นอย่างนั้นไง อย่างที่เราว่าเห็นไหม อย่าง หลวงปู่มั่นสอน ในมุตโตทัยเห็นไหม การเหยียด การคู้ การเคลื่อนไหวเรานี่ต้องมีสติตลอดเวลาใช่ไหม การเหยียด การคู้ เรารู้ตัวหรือเปล่า การเหยียด การคู้ เราก็รู้ใช่ไหม

แต่เวลาอภิธรรมนะ “เหยียดหนอ” มันเหยียดอยู่แล้ว เราก็รู้อยู่แล้ว ทำไมต้องไปหนออีกหรือวะ ไปหนอ มันไปสร้างอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งใช่ไหม เหยียดหนอ เหยียดหนอ เหยียดหนอ เหยียดหนอ คู้หนอ คู้หนอ ก็กูคู้ กูก็เหยียดอยู่แล้ว กูก็รู้กูเนี่ย

หลวงปู่มั่นสอนจริงๆ “การเหยียด การคู้ การดื่ม การกิน ต้องมีสติตลอดเวลา” อ้าว! กินก็กิน กินหนอ กินหนอ ก็กินอยู่แล้ว ทำไมต้องไปหนออีกล่ะ มันไปสร้างอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่ง เราไม่ใช่อารมณ์จริง เพราะความจริงมันอยู่ที่เรา แล้วเราไปคิดอาการ สร้างอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งใช่ไหม แล้วเราก็เอาใจเราไปไว้ที่อารมณ์ตรงนั้น พอเอาใจไปไว้ที่อารมณ์ตรงนั้นปั๊บ มันก็อยู่ที่ตรงนั้นใช่ไหม มันก็ว่าง มันก็สบาย สบายๆ มันใช่ไหม เราไปเอาที่ให้มันอยู่นะ แต่ถ้าเราเอาให้มันอยู่ที่ตัวมันล่ะ

นี่ใครบอกว่า “มันเหมือนกัน เหมือนกัน”

บอกว่า “ไม่เหมือน ไม่เหมือน ไม่เหมือนหรอก”

อ้าว! หลวงปู่มั่นก็สอนในมุตโตทัยใช่ไหม การดื่ม การกิน การเหยียด การคู้ การเคลื่อนไหว ต้องมีสติตลอดเวลาใช่ไหม เอ็งเคลื่อนไหว เอ็งก็มีสติ กูมีสติก็อยู่เฉยๆ แล้ว เคลื่อนไหวหนอ มันก็เคลื่อนไหวอยู่แล้วนะ ยังต้องมีเคลื่อนไหวหนออีกอภิธรรม ไม่ค้านอภิธรรมนะ แต่ค้านคนสอนอภิธรรม

เพราะหลวงปู่มั่นท่านสอนอภิธรรมโดยที่ท่านไม่บอกว่าสอนอภิธรรม ท่านบอกว่าให้มีสติอยู่ในการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา คนรู้ คนจริงสอน คนที่รู้จริงเป็นจริงท่านสอนจริง การเหยียด การดื่ม การคู้ การเคลื่อนไหว เราต้องมีสติ อยู่ในการเคลื่อนไหวนั้น ให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา

นี้ไอ้คนที่ไม่รู้มาสอน เคลื่อนไหวอยู่นี่จะทำอย่างไร ให้มันรู้ว่าเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องบอก “เคลื่อนไหวหนอ” ก็มันเคลื่อนไหวอยู่แล้วใช่ไหมแต่เราไม่ทัน เพราะสติมันเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวนั้น เราก็คิดว่าการเคลื่อนไหวนั้นเพื่อจะให้รู้ทันมัน ก็ไปสร้างอารมณ์ให้ทันกัน

“เคลื่อนไหวหนอ” ก็มันเคลื่อนไหวอยู่แล้ว

เราถึงบอกเราค้านคนสอน เราค้านคนสอนนั้น แต่เราไม่ได้ค้านอภิธรรม ถ้าคนสอนนั้นเป็น คนสอนนั้นจริง ไม่ต้องบอกว่าอภิธรรมหรือไม่อภิธรรม แต่มันเป็นตัวอภิธรรมโดยเนื้อหาสาระโดยข้อเท็จจริง แต่เพราะคนไม่เป็นมาสอน

ย้อนกลับมาที่นี่เหมือนกัน ที่เราค้านเราค้านตรงนี้ เราห่วงตรงนี้ ทีนี้พอมาบอกว่าเป็นมโนมยิทธิ เป็นอะไร สิ่งนี้เวลาเขาพูดเขาบอกว่า สิ่งนี้มันอยู่ในพระไตรปิฎก นี่ที่เขาบอกนะบอกว่า เป็นพุทธพจน์นะ พระไตรปิฎกเป็นวาจาพระพุทธเจ้า เป็นพุทธพจน์ กล้าเถียงพุทธพจน์เหรอ

บอกไม่ พุทธพจน์ไม่ได้เถียง พุทธพจน์น่ะของจริง แต่ไอ้คนพูดพุทธพจน์น่ะ

เหมือนเรานี่ เราอ่านหนังสือออกนะ เราอ่านภาษาออก แต่เราอ่านความหมายไม่ออก ทับศัพท์มาเห็นไหม เราอ่านหนังสือได้นะ แต่เราไม่เข้าใจ นี่ก็เหมือนกันพุทธพจน์ใครเป็นคนอ่าน ใครเป็นคนเข้าใจ แล้วบอกพุทธพจน์ห้ามค้าน ห้ามค้าน

ไม่ได้ค้านพุทธพจน์ แต่มึงพูดพุทธพจน์ แต่มึงไม่เข้าถึงเนื้อหาสาระไง มึงเข้าไม่ถึงเนื้อหาสาระของพุทธพจน์นั้น นี้เวลาเราค้าน เราค้านตรงนี้ เราไม่ได้ค้านพุทธพจน์ ค้านที่มึงเข้าไม่ถึงเนื้อหาสาระพุทธพจน์นั้นต่างหากล่ะ แล้วมึงมาอ้างว่าพุทธพจน์ พุทธพจน์

มันก็มาย้อนกลับมาที่ว่า การเคลื่อนไหว การมีสติพร้อมนี่ ถ้าบอกให้มีสติพร้อม ถ้าบอกมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดาของเรา เดินจงกรมของเรานี่ บางทีมีนะ มีพวกนี้ พวกอภิธรรมมาใหม่ๆ เขาก็จะมาย่างอยู่อย่างนั้น ถ้าเขามา บางคนมีวาสนามาหาเรานะ เขาก็จะอย่างนั้น แล้วเขาก็จะทิ้งของเขาไปเอง พอทิ้งไปเองแล้ว..

เหมือนเราเด็กๆ เราก็ว่าเราทำถูกนะ พอเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา คิดถึงเด็กนะ อายทุกคน ใครเป็นเด็กแล้วทำผิดมา ไอ้นี่พอมาทิ้งแล้ว มาคิดถึงย่างๆ แล้วอายน่าดูเลย แล้วเวลาใครมา มาย่างๆ เราเห็นแล้ว เราต้องกัดลิ้นไว้นะ มันขำนะ มันขำ คือเราไปสร้างภาพลวงไง เราไปสร้างภาพลวงขึ้นมา แล้วจะให้มันเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่เป็นหรอก แต่ถ้าอยู่ในปัจจุบันนะ พอจิตเข้ามา มันจะเป็นจริงๆ แล้วมันจะรู้จริงของมัน อันนี้เราพูดแค่นี้

เมื่อวานมีโยมมาหลายชุด เข้าไปดูในอินเตอร์เน็ต แล้วเขาก็เอาแผนที่มา เขามาขอซีดี เขาจะเอาไปแจกไง เวลาคนที่เขามีความศรัทธา มีจิตใจเป็นธรรม เขาก็เห็น เราได้ลิ้มรส เราก็อยากให้คนอื่นได้ธรรมบ้าง เขามาพูด เขามาขอซีดี เราให้เขา แล้วเขาบอกเขาจะเอาไปแจก เราบอกเขาเลย

“โยม สังคมโลกมันมีทั้งคนดีและคนชั่ว คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ โยมไปแจกถ้าเป็นความดีของโยมนะ เป็นความดีของเขาที่เขาอยากได้ มันก็เป็น ถ้าเป็นที่เขาไม่พอใจ โยมไปแจก โยมจะโดนแรงเสียดสี”

เขาพูดอย่างนี้นะ ถ้าเป็นคนอื่นต้องหางชี้เลย “หลวงพ่อ ถ้าบอกพระสงบนี่นะ ในสายหลวงปู่มั่นน่ะ ใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้นเลย” เขาพูดอย่างนี้นะ

เราบอก “นี่มึงพูด เวลาใจของเราดี เราจะเชิดชูมากเลยนะ แล้วเวลาใจเราตกนะ” เราบอกเขาเลย เราอธิบายให้เขาฟังบอก “สังคมนะ เนี่ยโยม ความจริงโยมเหมือนผ้าขาว เหมือนเราเหมือนเด็กๆ เด็กๆ พอเรามีศรัทธามีความเชื่อสิ่งใด เราจะชุ่มชื่นมาก มันเป็นเด็ก วุฒิภาวะเราเป็นเด็ก ซื่อไง เรายังเข้าสังคมได้เต็มที่เลย เราบอกว่าในสังคมมันยังมีเล่ห์กลมากกว่านี้เยอะนัก เราอธิบายให้เขาฟังนะ จนเขาน้ำตาไหลเลยล่ะ เขาน้ำตาไหลเลยนะ

แล้วเราก็บอกเขา บอกสิ่งที่ตอนนี้ในเว็บไซต์ของ.... ของต่างๆ จะมีคนไปแจกอยู่บ้าง เขามาถามเรา ทุกคนโทรศัพท์มาเยอะมากเลย โทรมาไอ้โตเนี่ย บอกทำไมให้แจก ทำไมให้แจก เราบอกเราไม่ให้แจก เราไม่ให้ใครแจกหรอก เพราะแจกไปแล้ว มันเหมือนกับว่ามันควบคุมกันไม่ได้ไง แต่ที่เขาไปแจก เราให้ไปแจกอยู่สองคน ให้ไปแจกเพราะคนพวกนี้เขารู้ทัน ถ้าเขาโดน พอเขาแจกไปเนี่ย มันจะมีคนส่งข้อมูลเข้ามาไง หลวงพ่อให้แจกเรอะ หลวงพ่อให้แจกเพราะอะไร เขาไม่ตอบ เขาจะโพสต์ขึ้นไปนะ ถ้าไม่แจกนะมันจะมีปัญหา เขาจะโพสต์ในอินเตอร์เน็ตบอกว่า

“ได้รับอนุญาตแล้ว”

“ได้รับอนุญาตเพราะอะไร ทุกคน..”

แต่เขาเฉย เขาเฉยแล้วเขาก็แจกของเขาไป เพราะก่อนที่เขาจะแจกที่นี่ เขาได้เอาซีดีเราไปแจกทั่วๆ ไปแล้ว ทีแรกเขามาขอเรา เราไม่ยอม อย่างไรเราก็ไม่ยอม เพราะเราคิดว่า มันอย่างที่ว่า กรรมของสัตว์ใช่ไหม แต่ที่เราต้องจำนนกับเขา เขาบอกว่า “ของปลอมมันยังเกลื่อนทั่วไป แล้วความจริง ข้อมูลที่เป็นความเป็นจริง หลวงพ่อ ทำไมมันจะออกไม่ได้ สิ่งที่ออกไปมันเพื่อประโยชน์ แล้วจะปล่อยให้เขาโดนหลอกลวงกันอยู่อย่างนี้ โดยที่ไม่ให้ออกไปเลยนี่ หลวงพ่อคิดอย่างไร” โอ้ มันถามเรานะ

แล้วเราก็ถามว่า “แล้วมึงออกไป มึงจะควบคุมไม่ให้มันกระทบกระเทือนกันได้อย่างไร”

เขาบอก “เขาทำของเขาได้”

แล้วเราก็สังเกตอยู่ เวลาเขาเอาไป เขาจะไปทำ เขาไปถึง..เหมือนถ้าคนเป็นงาน คนเป็นงานพอเขาเข้าไปในสังคมนี่ สังคมไหน ถ้ามันแบบว่าแรงต่อต้านอะไรนี่ ก็ต้องลองดูก่อนว่า มันจะเข้าไปแจกได้ไหม อย่างเช่น สังคมของเราปิดกั้น เราจะมีข้อมูลของเราในทางลบอยู่ ฉะนั้นถ้าคนเขาจะเอาข้อมูลที่ตรงข้ามมาแจกในสังคมเรา เราจะยอมไหมถ้าเป็นเรา

ในมุมกลับ ถ้าเป็นสังคมของเขา ข้อมูลของเขาเป็นอย่างนั้น แล้วข้อมูลของเรามันโต้แย้งกัน เขาจะยอมให้เราแจกไหม พอให้แจกปั๊บ คนที่ไปแจก จะเข้าไปขออนุญาตเขาก่อน ซื่อๆ เลย “เข้าไปขออนุญาตว่าจะแจกซีดีเรา จะยอมอนุญาตให้แจกไหม” เขาบอก “อนุญาต” พออนุญาตเขาก็เริ่มแจก

เขาไปขออนุญาต แล้วพอแจกเข้าไปแล้ว จะมีแรงต้านไหม เขาทำใต้ดินมาอย่างนี้เยอะ พอคนทำใต้ดินมาอย่างนี้เยอะ เขาจะเข้าใจว่าสิ่งใดเห็นไหม เพราะคนเขาเข้าใจสังคม เขาเข้าใจว่า มันจะมีแรงต้านอย่างไร มันจะเป็นประโยชน์กับใคร มันจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการความจริง มันจะไม่เป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการข้อมูลเท็จ สิ่งที่เขาให้ข้อมูลเท็จ เขาไม่ต้องการให้ข้อมูลที่เป็นความจริงออกมาแฉข้อมูลของเขา เขาก็ต้องมีการปิดกั้นเป็นธรรมดา

นี้ถ้าเรารู้อย่างนี้ปั๊บนี่ เราเข้าไปในสังคม เราจะควบคุมคอนโทรลสิ่งที่เราจะแจกออกไปในสังคมได้อย่างไร เขาทำงานแล้ว เขามีประสบการณ์แล้ว เราถึงอนุญาตให้เขาไปทำ ทีนี้คนอื่นที่มา อุ้ย จะไปแจก จะไปแจก มึงซื่อบื้ออย่างนี้มึงไม่ต้องไปแจกหรอก มึงฟังของมึง อยู่กับบ้านเฉยๆ น่ะดี ที่สุดเลย นี้คนซื่อบื้อก็อยากจะทำใช่ไหม ทุกคนจะคิดอย่างนี้ คิดว่า สิ่งนี้เป็นธรรมะ เป็นความดี ทำความดีแล้วจะไม่เป็นความดีได้อย่างไร แต่คนที่ทำความดีที่เป็นความดีนี่ โดนแรงเสียดสีมา ทุกข์มาเยอะแล้ว

นี้อย่างเรา เราเป็นผู้ใหญ่ทางวุฒิภาวะนะ เราเป็นผู้ใหญ่ปั๊บนี่ ใครจะทำอะไร เราคอยเตือน คอยเตือน เตือนเพื่ออะไร เตือนเพื่อไม่ให้พวกเอ็งเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะเดี๋ยวเอ็งโดนกระทบขึ้นมานี่ พวกเอ็งจะเจ็บช้ำน้ำใจเปล่าๆ ของดีๆ ขนาดไหนก็แล้วแต่ เราเข้าใจไหม ของเรามีดีขนาดไหน แต่ออกไปแล้ว ถ้าสังคมเขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าของดี เขาไม่รับหรอก แล้วพอเขาไม่รับแล้วนี่ เราเสียหรือเขาเสีย แล้วเราจะไปทุกข์อะไร ถ้าเราไม่ทุกข์ซะอย่างมันก็จบใช่ไหม

นี้เพียงแต่ถ้าของเรา ถ้าเป็นประโยชน์ เราจะทำอย่างไร แล้วถึงเวลาอย่างไร แล้วเราค่อยๆ ลงไป คือทำงาน ประสาเราว่าต้องทำงานเป็นว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าทำงานไม่เป็นยิ่งทำยิ่งเสีย ฉะนั้นใครมาก็..ทำไมต้องแจก ถ้าบอกอนุญาตนะ อินเตอร์เน็ตขึ้นเป็นแพเลย ใครๆ ก็จะแจก ไม่มีคนรับ มีแต่คนแจกนะ บอกไม่ได้ ไม่ให้ ไม่ให้ มันไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม

เมื่อวานมาเยอะ แล้วก็มาอีกเจ้าอย่างที่ว่าไปปฏิบัติแต่ละที่ แต่ละที่นี่ แล้วเขาบอก เขาก็พุทโธอยู่ แต่พุทโธแล้วมันทำได้ยาก มันคอยแฉลบ เขาเลยไปหาที่ง่ายๆ ไง แล้วผลที่ตอบมาคือสติเริ่มเบลอแล้ว แล้วพ่อแม่เขาพามาเลย พ่อแม่เขากลัวเสีย แล้วเราบอกให้กำหนดพุทโธขึ้นมา เขาบอกพุทโธแล้วมันทำได้ยาก

เราก็พูดทำนองนี้ ที่พูดบ่อยๆ ว่าของจริงมันยาก การปฏิบัติไม่ง่ายหรอก ถ้าการปฏิบัติง่ายนะ โลกนี้พระอรหันต์เต็มโลกเลย เพราะใครๆ ก็อยากปฏิบัติ ใครอยากปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ ถ้าปฏิบัติง่ายนะ โอ้โฮพวกนี้ปฏิบัติสำเร็จหมดแล้ว มันไม่ง่ายหรอก การปฏิบัติง่ายไม่มีหรอก แต่เขาไปบอกกันง่ายๆ แล้วเราอยากง่ายกันไง

พออยากง่าย มันก็เหมือนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยปั๊บเราก็อยากให้คนรักษา เพราะเราอยากง่าย พอเขาพูดว่าง่าย แล้วทางนี้ทางไป ง่ายจริงๆ นะ ปฏิเสธไปให้มันลืมๆ ไป แล้วก็ว่างๆ อย่างนั้น ง่ายโดยที่ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร พยายามปฏิเสธให้ได้ เหมือนสัญชัยเลย

“ไม่ใช่”

“ไม่ใช่คืออะไร”

“ไม่ใช่คือไม่ใช่”

“แล้วไม่ใช่”

“ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ไปเรื่อย ไม่ใช่คือไม่ใช่”

“แล้วในไม่ใช่”

“ในไม่ใช่คือไม่ใช่” อ้าว! แล้วไปไหน ทางวิทยาศาสตร์เห็นเขาว่า ปัจจุบันนี้ลัทธิที่ปฏิเสธอะไร เขาว่าทางวิชาการเขาชื่นชมกันมาก

แต่พระพุทธเจ้าบอกนะ ในศาสดาเห็นไหม ในเดียรถีย์ ในนิครนถ์ ในสัญชัย ในอะไรเนี่ย ศาสดาต่างๆ ในสมัยพุทธกาล ศาสดาที่โง่ที่สุดก็คือสัญชัย นี่พระพุทธเจ้าพูดเองในพระไตรปิฎก ที่โง่ที่สุด ศาสดาที่โง่ที่สุด แล้วพวกเราก็ว่างๆ ว่างๆ ปฏิบัติโง่ที่สุดไง ว่างๆ ทำไมถึงว่าง นั่งผ่านกระบวนการอย่างไรแล้วจิตมันถึงว่าง ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันก็ว่าง มันว่างมาจากไหน อ้าว! ว่างก็มาจากว่าง แล้วไอ้ว่าง ไอ้ว่างก็มาจากว่าง แล้วมึงว่างไหนวะ งงอยู่

แต่พวกเราถ้าจะว่างนะ เราจะปล่อยวางได้เราต้องมีสติ เราต้องผ่านการกระทำ แล้วมันว่าง มันรู้เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนทำ เราเป็นคนขึ้นรูป เราเป็นคนจัดการ แล้วมันเสร็จแล้วทำไมเราจะไม่รู้ แต่คนที่ไม่มีอะไรเลยนี่ ว่างๆ ว่างก็กูไม่ได้ทำอะไรเลย ว่างๆ ว่างๆ ไม่มีอะไรเลยว่างๆ ไม่มีสติ ไม่มีจิต ไม่มีอะไรเลย มิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิคือจับต้องไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดจะเริ่มต้น ไม่มีสิ่งใดควรไป

ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิ-ปัญญา ไม่เอาสมาธิเป็นฐาน ปัญญาจะเกิดตรงไหน ปัญญาก็เกิดในคอมพิวเตอร์ไง แล้วปัญญามึง ไม่รู้ สมาธิตัวฐาน กรรมฐาน ฐานที่ตั้ง แล้วสมาธิมึงอยู่ไหน

โธ่! หลวงปู่เจี๊ยะพูดบ่อย “เฮ้ย! เขาเอาจิตภาวนานะมึง จิต จิตภาวนา จิตคือสมาธิไง สมาธิสงบแล้วคือตัวจิต เขาเอาจิตภาวนา เอาจิตทำนะ เอาจิต เอาตัวการกระทำ

แล้วมึงไม่มี ว่างๆ ว่างๆ มึงไม่มีจิต ปฏิเสธตัวเองจนไม่มีอะไรเลย มันถึงสบายไง ของมีอยู่น่ะ เกลื่อนมันซะไม่ให้มันมี แล้วมีไหม มี แต่มันไม่รู้ มีโดยที่ไม่รู้ มีโดยที่ไม่เห็น ว่างๆ ว่างๆ ไม่มีได้อย่างไร ไม่มีทำไมมึงหายใจอยู่ ไม่มีทำไมมึงเคลื่อนไหวอยู่ นั่นน่ะมีนะ แต่มันบอกว่าว่างๆ ว่างๆ ไงของมีอยู่ มันไม่เห็น มันไม่รู้

แต่ถ้าเป็นสมาธินะ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ ของมันมีอยู่ใช่ไหม สิ่งที่มีอยู่แล้วมันว่างโดยตัวมันเองใช่ไหม แล้วถ้ามันทำได้อย่างนี้ แล้วมันยากไหม “ยาก” ยากเพราะอะไร

ธรรมะนี่คือการเอาชนะตนเอง ชนะความฟุ้งซ่าน ชนะความคิดจิตมันก็เป็นหนึ่ง พอจิตเป็นหนึ่ง สถานที่ตรงนั้นคือสถานที่ อวิชชามันอยู่ที่นั่น แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญมัน จนมันถอนอุปาทาน ถอนสิ่งที่ปักเสียบอยู่ในใจ ถ้าถอนสิ่งที่ปักเสียบ ปัญญามันอยู่ตรงนั้น พอถอนสิ่งที่ปักเสียบ ดูสิ หนามตำเท้าแล้วบ่งหนามออก เราจะรู้สึกเจ็บแปร๊บๆ ในนั้นมันจะไม่มีใช่ไหม

เราถึงกล้าพูดนะ ไอ้ที่เป็นพระอรหันต์ ไอ้ที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ที่ในสังคมนี่นะ มันจะรู้ตัวมันเองตลอดเวลาว่ามันไม่ใช่ เพราะมันจะมีหนามปักอยู่ที่ใจมัน มันจะแปร๊บ แปร๊บ อยู่ที่ใจมัน แต่มันแกล้งโง่ แกล้งไม่เห็น แต่มันมี คนที่ปฏิบัติ คนที่เป็น จะรู้ ! จะว่างขนาดไหนนะ มันก็ เอ๊ะ! ตรงนี้ใช้ไม่ได้ เอ๊ะ! อื้ม นั่นน่ะ นั่นล่ะหนามปักเสียบอยู่ เวลามันเทศน์ เวลาไปถามปัญหาสิ มันติด เอ๊ะ! เพราะมันไม่รอบไง เอ๊ะ! นั่นล่ะ นั่นล่ะ นั่นล่ะ อวิชชา!

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ หมุนรอบเลย หมุนได้รอบ ไม่มีเอ๊ะ! แล้วมันเป็นจริง มันว่างๆ ว่างปฏิเสธ พอว่างปฏิเสธ มันมีตัวตน ตัวตนที่มันเอ๊ะ! ตัวตนมัน มันข้อมูลโดยลึกอยู่ที่นั่น พูดอะไรออกไป ไอ้ตัวนี้มันสงสัย จะพูดข้อมูลอะไรออกไป ตัวนี้สงสัย มันยังสงสัย คือเราพูดแบบไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไง เราพูดไปไม่ได้หมดไง เรามีบางอย่างที่มันคาใจเราอยู่

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันไม่มีสิ่งใดคาใจ มันไปได้หมดเลย ไม่มีเอ๊ะ! เลย มันไปได้เต็มที่แล้วถ้ามันผิดแย้งกลับมา ก็แย้งไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เขาพูดกันอยู่ ที่เขาแสดงตัวกันอยู่นะ เรามั่นใจมากเลยว่า คนที่ทำเขารู้ตัวตลอด เขารู้ตัวเขาอยู่ ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ แต่เขาก็ทำ ประสาเรานี่มันไม่ซื่อสัตย์กับตนเองไง ถ้าซื่อสัตย์กับตนเองนะ มีเท่าไรก็เท่านั้นแหละ เรารู้แค่ไหน เราพูดได้แค่ไหน เราก็ต้องมีแค่นั้น ถ้ามันซื่อสัตย์กับตัวเองนะ

พอปฏิบัติแล้ว อย่างพวกเรา อย่างโยมนี่ปฏิบัติ ในก้นบึ้งของใจ โยมสงสัยทุกคน ว่าจะศึกษาขนาดไหน เราพูดอย่างนี้ พูดตอนนี้นะ แบบว่ามันเคลียร์นะในหัวใจ มันจะโล่งๆ อยู่ แต่พอเดี๋ยวลงไปนั่งรถแล้ว พอนึกไปสิ อู้ มันจะมีข้อโต้แย้งเยอะมากเลย เอ๊ะ! ทำไมท่านพูดอย่างนั้น เอ๊ะ! ท่านพูดอย่างนั้น ท่านคงจะลืมคำพูดอีกคำหนึ่ง ไอ้คำที่ดีกว่านี้ท่านยังไม่ได้พูด มันคงจะลึกกว่านั้น มันว่าเรารู้ได้ลึกกว่าด้วย

นี่การฟังธรรม นี้การฟังธรรม มันย้อนอยู่ที่เรา ถ้าเรามีพื้นฐาน จิตเรามีพื้นฐานอยู่แล้ว พอมันฟัง มันปิ๊ง! เห็นไหม หลวงตาท่านพูด หลวงปู่มั่นเทศน์นิพพานเอื้อมได้เลยนะ มันมีคนบอกแผนที่ไง มีคนบอกโครงสร้างไง แล้วเราสามารถจับได้เลย สามารถจับได้ จับได้ของใคร จับได้ของอาจารย์ที่เทศน์ เพราะท่านเทศน์ขึ้นมาเป็นโครงสร้างเลย เวลาเทศน์นะตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล พุ่งขึ้นไปเลย

นี้พอมันพุ่งขึ้นไปอย่างนั้นปั๊บ มันก็เหมือนกับเราเดินตามได้ แต่นั่งร้านเรายังไม่มี พอเทศน์จบปั๊บ โครงสร้างนั้นหายเกลี้ยงเลย มืด นี้ถ้าจิตเราดี จิตเรามีพื้นฐาน พอท่านเทศน์ปั๊บ สร้างโครงสร้าง จิตเราดีอยู่แล้ว เราก็สร้างโครงสร้างทัน อย่างนี้เวลาเทศน์ไปเห็นไหม ถ้าเป็นโสดาบันแล้ว พอเทศน์มันเข้าใจหมด แล้วคนที่เป็นโสดาบันต้องการสกิทา พอถึงโสดาบันเห็นไหม พูดถึงมรรค มรรคญาณขั้นแรก พอมันขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วดำเนินการต่อไป

พอดำเนินการต่อไป ไอ้คนที่จากโสดาบันถึงวาระของกูแล้ว เพราะไอ้การดำเนินการต่อไปนี่กูไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์ท่านพยายามจะพูดโครงสร้างให้เราฟังแล้ว พอท่านจะพูดโครงสร้างให้เราฟังปั๊บ เราจะทำอย่างไร ถ้าจิตมันทันนะ เพราะท่านจะเทศน์ ๒วัน ๓ วัน เทศน์ที เทศน์บ่อย ครูบาอาจารย์ท่านจะเทศน์บ่อย แล้วท่านสร้างโครงสร้างปั๊บเนี่ย จิตเราจะสร้างโครงสร้างทันไหม ถ้าสร้างทัน มันปิ๊ง! ปิ๊ง! ปิ๊ง! พอปิ๊ง! มันเข้าใจนะ มันเหมือนกับเราสร้างโครงสร้างได้แล้ว

สร้างโครงสร้างได้แล้ว มันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดปั๊บ เราจะสร้างโครงสร้างจนโครงสร้างนั้นสมบูรณ์เห็นไหม จากโสดาบันก็เป็นสกิทาคา สกิทาคาแล้วก็อนาคา อนาคาก็ถึงที่สุด แล้วพอถึงที่สุดแล้ว เราฟังเทศน์หลวงตาบ่อย ถ้าหลวงตาเวลาท่านเทศน์ ไปฟังเทศน์เก่าๆ สิ ท่านเทศน์จบ หลวงปู่ลีท่านนั่งอยู่ด้วย

“ท่านลีเป็นอย่างนั้นเนาะ” เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์กับพระอรหันต์นั่งอยู่ด้วยกัน องค์หนึ่ง คือ พระอรหันต์เทศน์ อีกองค์หนึ่งพระอรหันต์นั่งฟัง มันทันกัน

ไปดูสิ ถ้าหลวงปู่ลีนั่งอยู่ด้วย ไปฟังเทศน์เก่าๆ ถ้าหลวงปู่ลีนั่งอยู่ด้วยนะ “ลีเนาะ” นั่นคือพยานไง เราฟังเทศน์นะ ฟังแล้ว แหม มัน.. โครงสร้างท่านสร้างขึ้นมาน่ะ เวลาเทศน์ท่านพูดถึงเริ่มพื้นฐานเลย แล้วก็ขึ้นไปเลย โสดาปัตติมรรค เนี่ยโครงสร้างของเรา โสดาปัตติผลคือจบกระบวนการของมัน สกิทาคามรรคโครงสร้าง สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล แล้วเทศน์ไปเลย แล้วมันไปแล้วนี่อย่างที่ว่า ใครจะโต้แย้งล่ะ ให้โต้แย้งมา ใครโต้แย้ง

นี้ไม่โต้แย้ง พอไม่โต้แย้งนะ อย่างเช่น หลวงตาท่านพูด หลวงปู่มั่นใช่ไหม พอเทศน์ไปแล้วลูกศิษย์ก็สร้างโครงสร้างตาม นี้พอสร้างโครงสร้างไม่เสร็จไง สร้างโครงสร้างไม่ได้ปั๊บเนี่ย เวลาไปสรงน้ำหรือไปนวดเส้น ไอ้นี่ว่าอย่างไร ไอ้นี่ว่าอย่างไร หลวงปู่มั่นท่านพูด เอ๊อะ ยังมีคนตามอยู่นะ ไอ้นั่นคือคุณประโยชน์ คุณประโยชน์คือเราอธิบายธรรมะ แล้วมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มีผู้ที่ปฏิบัติตามแต่ยังสงสัยอยู่มาถาม ครูบาอาจารย์ท่านจะซึ้งใจ ท่านจะพอใจมาก คือไม่เทศน์เสียเปล่าไง เทศน์แล้วมีผู้เอาจริงเอาจัง มีผู้ประพฤติปฏิบัติ มีผู้ที่พยายามแสวงหาอยู่

เวลาเทศน์จบแล้วก็หายกันไปเลย เหมือนกับท่านปฏิบัติ ท่านจะพูดเลย ถ้ามีใครปฏิบัติอยู่หลวงปู่มั่นท่านจะถามเลย จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร แต่อย่างเรานี่ภาวนาไม่เป็นเลย ท่านก็ไม่อยากถาม เพราะท่านถามแล้ว เราจะเครียดไง พอถามปั๊บ อย่างเราทำไม่ได้ แล้วท่านถาม เราจะเอาอะไรตอบ มันก็เหมือนกับว่า ขับ ผลักไส เหมือนเราไม่มี แล้วจะให้เรามีออกมา ถ้าองค์ไหนปฏิบัติแล้วไม่เป็นอย่างนั้น ท่านก็จะแบบว่าให้อยู่สร้างบารมี ถ้ามีความจริงจังก็สร้างขึ้นมา

แต่ถ้าองค์ไหนเป็นนะ หลวงตาท่านบอก ไม่ค่อยถาม นั่งร้านนี่ มึงตีต้นนั้นหรือยัง มึงได้ปูพื้นหรือยัง มึงได้ต่อเติมขึ้นไปหรือยัง คอยถามเลยล่ะ อ้าว! ถ้าเราตี ตีแล้ว ถ้าเราไม่ได้ตี ตีอย่างไร ตีตรงไหนไม่รู้ เออ ท่านก็ซัดเอา ซัดเอา เราก็หาขึ้นมาตีสิ หาขึ้นมาทำให้ได้

นี่ไงที่ว่าธรรมะบอก อย่าให้เชื่อตัวบุคคล ให้เชื่อธรรมะ ให้เชื่อธรรมะ นี้ธรรมะมันอยู่ในใจของครูบาอาจารย์เรา นี้อยู่ในใจของครูบาอาจารย์เราเห็นไหม มันถึงเป็นความจริง ความจริงนี่มันถึงเห็นขั้นตอนของการกระทำ มันเป็นไปได้หมด ธรรมะนี่ของจริง แล้วมีจริงๆ ถ้าไม่มีจริงจะพูดได้อย่างไร

บันไดสี่ขั้น ขั้นหนึ่ง ขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่ ขั้นหนึ่งทำอย่างไร แล้วก้าวเดินขึ้นไปอย่างไร ขั้นสองอย่างไร ขั้นสามอย่างไร ขั้นสี่อย่างไร แล้วพอสิ้นกระบวนการแล้ว บันไดสี่ขั้นนั้นรื้อทิ้งหมดเลย ถ้ามีอยู่ไม่ใช่ ถ้ามีบันไดอยู่ บันไดมันเป็นวัตถุ

แต่ตอนก้าวเดินไปเห็นไหม ก้าวเดินจิตเป็นผู้รู้เห็นไหม นี่จิต อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ เกิดญาณทัสนะ เกิดยถา ภูตัง รู้จริง เกิดญาณทัสนะเห็นไหม จิตมันปล่อยเข้ามา ตัวจิตมันปล่อยเข้ามา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จนถึงที่สุดแล้ว พอถึงที่สุดแล้วปั๊บนี่ อรหัตมรรค อรหัตผล ยังไม่ถึงที่สุด มรรค ๔ ผล ๔ อรหัตมรรค อรหัตผล นิพพาน ๑

อรหัตมรรค อรหัตผล ประกอบบันไดขั้นที่สี่ สิ้นสุดกระบวนการการประกอบบันไดแล้ว มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ บันไดสี่ขั้น เราอาศัยบันไดสี่ขั้นนี้ก้าวขึ้นมา สุดท้ายแล้วบันไดนี้โดนทำลายหมดเลย เราสร้างนั่งร้านขึ้นไปสร้างตึก สร้างตึกเสร็จ นั่งร้านนั้นทำลายหมด ไม่มีตึกหลังไหนมีนั่งร้านอยู่นั่นตลอดเวลา แต่ขณะที่สร้างอยู่ต้องมีนั่งร้านขึ้นไป พอสร้างตึกนั้นเสร็จแล้ว นั่งร้านนั้นเขาจะรื้อทิ้งหมด ไม่เอานั่งร้านนั้นไว้กับตึกหลังนั้น

มันจะไปใหญ่ มีอะไรอีกไหม ไม่เอา จบแล้ว เนาะ เอวัง